จิตแพทย์ชี้คนรวยอารมณ์แปรปรวน

คนรวย-นักการเมือง ควรเช็คอาการและหายาแก้โรคแปรปรวน หากชะล่าใจหวั่นเสี่ยงอันตราย

จิตแพทย์เตือนคนที่มีอารมณ์ร่าเริง ชอบทำบุญ เที่ยวกลางคืน ช้อปปิง ขยัน มีความคิดสร้างสรรค์ ล้วนเสี่ยงเป็นโรคอารมณ์แปรปรวน พบสถิติมีผู้ป่วยในไทยนับแสน ระบุมักเป็นคนรวยและนักการเมือง และไม่ได้รับการรักษาเนื่องจากไม่คิดว่าเป็นอาการของโรคแปรปรวน ควรหายาป้องกันหากปล่อยไว้อาจเกิดอันตรายได้

รศ.นพ.รณชัย คงสกนธ์ กรรมการสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวช รพ.รามาธิบดี เปิดเผยว่า ขณะนี้พบคนไทยประมาณ 10-15% มีปัญหาสุขภาพจิต แต่มีเพียง 1% เท่านั้นที่มาพบแพทย์ และในประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคอารมณ์แปรปรวนจำนวนหลายแสนคน ส่วนใหญ่อายุ 15-24 ปี และผู้ป่วยร้อยละ 25 เกิดอาการครั้งแรกก่อนอายุ 20 ปี

สาเหตุของโรคเป็นโรคอารมณ์แปรปรวนหรือทางการแพทย์เรียกว่า ไบโพลาร์ เกิดจากกรรมพันธุ์ และความผิดปกติของสมอง รวมถึงปัจจัยด้านความเครียด การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ และการอดนอนทำให้ผู้ป่วยมีอาการกำเริบ โดยอาการของโรคจะสามารถสังเกตได้จาก มีอาการร่าเริงหรือซึมเศร้าเกินปกติที่เคยเป็น จะแสดงอาการดังกล่าวประมาณ 4-6 เดือน จากนั้นจะกลับสู่ภาวะปกติ ซึ่งทำให้ผู้ป่วยหรือคนรอบข้าง ส่วนใหญ่ไม่ทราบว่าป่วยเป็นโรคดังกล่าว

รศ.ดร.รณชัย กล่าวว่า ลักษณะอาการของผู้ป่วยจะค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป เกิดในบุคคลที่มีฐานะดี เนื่องจากอาการของโรคจะทำให้เป็นคนที่มีความคล่องแคล่ว ขยันหมั่นเพียรผิดปกติ ทำให้สามารถสร้างรายได้เป็นผู้ที่มีฐานะ นอกจากนี้ ลักษณะอาการคือ เช่น อารมณ์ดีผิดปกติ พูดคุยมากขึ้น สังคมเก่ง มีความคิดสร้างสรรค์ดี อยากทำโครงการต่างๆ มากมาย ชอบเที่ยวกลางคืน เพราะมีอารมณ์ร่าเริงเกินปกติ ไม่มีเบื่อ อาจจะลุกลามไปถึงการสำส่อนทางเพศ เพราะโรคดังกล่าวทำให้มีอารมณ์ทางเพศมากขึ้น ใช้เงินไปไม่มีเหตุผล ซึ่งบางรายที่ตนรับรักษา ถึงขั้นแจกเงินจากเดิมที่เป็นคนตระหนี่ การใช้ความรุนแรงทะเลาะเบาะแว้งในครอบครัว บางครั้งก็มาจากการที่มีอารมณ์แบบสุดขั้วเช่นนี้ บางรายที่มีอาการซึมเศร้าถึงขั้นฆ่าตัวตาย ซึ่งจากสถิติพบว่าคนไข้ 1 ใน 5 สามารถฆ่าตัวตายได้สำเร็จ

ตั้งข้อสังเกตได้ว่าผู้ที่ตั้งใจ ขยันทำงาน จนประสบความสำเร็จและมีฐานะที่ร่ำรวย มีโอกาสเสี่ยงต่อโรคอารมณ์แปรปรวนโดยไม่รู้ตัว เนื่องจากอาจมีความขยันมากผิดปกติ แต่อย่างไรก็ตามไม่ใช่จะเป็นทุกคน และส่วนใหญ่คนไข้ที่ตนรับการรักษาอยู่นั้น ชอบทำบุญด้วยเงินเป็นจำนวนมาก เมื่อหายกลับต้องเสียดาย หรือบางรายเบิกเงินในช่วงระยะเวลา 3 วัน จำนวน 3 ล้านบาท เพื่อมาซื้อสินค้าต่างๆ เพราะคิดว่าเป็นสิ่งที่ทำให้สบายใจ เมื่อได้รับการรักษาจึงเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สำหรับคนไข้ที่ตนรักษาส่วนใหญ่มีประมาณ 3-4 คนต่อสัปดาห์ มีทุกอาชีพ รวมถึงนักการเมืองด้วย ซึ่งขณะนี้ตนรักษาอยู่ประมาณ 2 ราย แต่เจ้าตัวไม่ทราบว่ารักษาอยู่ มีคนจนที่ป่วยด้วยเช่นกันแต่น้อย รศ.นพ.รณชัย กล่าว

รศ.นพ.รณชัย กล่าวต่อว่า การรักษาโรคดังกล่าวสามารถรักษาด้วยการใช้ยาปรับอารมณ์ให้คงที่ (Mood Stabilizer) ซึ่งไม่หายขาด แต่ต้องทานยาเพื่อคุมอาการอย่างต่อเนื่อง โดยการรักษาแบ่งเป็น 2 ช่วง ในช่วงแรก ประมาณ 1-2 เดือน ทานยาเพื่อให้อาการกลับสู่ปกติ ช่วงที่สอง เป็นการรักษาอาจจะ 1-2 เดือนต่อครั้ง เพื่อคุมอาการไม่ให้รุนแรงเพิ่ม ทรงตัวไปเรื่อยๆ และไม่กลับมารุนแรงซ้ำ อย่างไรก็ตามรักษาไม่หายขาด

ทั้งนี้ผู้ป่วยในครอบครัว คนรอบตัวต้องเข้าใจและช่วยกันป้องกันผู้ป่วยในช่วงก่อนโรคกำเริบรุนแรงขึ้น ผู้ป่วยสามารถรับการรักษาได้กับจิตแพทย์ที่รพ.ทุกแห่ง ซึ่งการรักษาโรคนี้ต้องทานยา ซึ่งค่ารักษาไม่มาก เพียงวันละประมาณ 10-20 บาทต่อวัน และในโครงการ 30 บาท รักษาทุกโรค ครอบคลุมอยู่ด้วย


ข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์ "กรุงเทพธุรกิจ"

โรคประสาทซึมเศร้า DYSTHYMIA และ CYCLOTHYMIA

โรคประสาทซึมเศร้า (dysthymia) โรคนี้เดิมเรียกชื่อว่า Depressive neurosis และเคย
ถูกจัดไว้ในกลุ่มโรคประสาท แต่ปัจจุบันจัดไว้เป็นกลุ่มโรคอารมณ์แปรปรวน อาการของโรคนี้คืออาการ
ซึมเศร้าเรื้อรัง โดยมีอาการซึมเศร้าติดต่อกันเป็นเดือนเป็นปี หรือตลอดชีวิต และมีช่วงเวลาที่อาการหาย
เป็นปกติระยะสั้นๆ สลับบ้าง อาการซึมเศร้า ไม่รุนแรงมากเหมือนในโรคซึมเศร้า และผู้ป่วยยังคงสามารถ
ประกอบกิจวัตรประจำวัน และทำงานได้ตามปกติ โรคนี้มีสาเหตุเกี่ยวข้องกับความกระทบกระเทือนทางจิตใจในวัยเด็ก

Cyclothymia โรคนี้ยังไม่มีศัพท์บัญญัติในภาษาไทย อาการของโรคคือ ความไม่คงที่ของอารมณ์
ซึ่งมีทั้งครื้นเครงและซึมเศร้าในระดับความรุนแรงไม่มาก ถึงขั้นจะวินิจฉัยเป็นโรค Mania หรือโรค
ซึมเศร้า โรคนี้เคยถูกจัดไว้เป็นโรคบุคลิกภาพผิดปกติเพราะอาการของโรคเป็นเหมือนกับลักษณะประจำตัวของผู้ป่วย ที่คงอยู่อย่างถาวร

โรคอารมณ์แปรปรวน คนใกล้ตัวก็ช่วยได้

โรคอารมณ์แปรปรวน คนใกล้ตัว..ก็ช่วยได้

ข้อมูลจากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โรคอารมณ์แปรปรวนใน ประเทศไทยมีหลายประเภท
ประเภที่แพร่หลาย มากที่สุดคือ ...
โรคอารมณ์ซึมเศร้า
พบ 5 เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณ 3 ล้านคน
ประเภทต่อมา...โรคไบโพลาร์
ผู้ป่วยจะมีทั้งอาการซึมเศร้า และครื้นเครงสลับกันไปเป็นช่วงๆ
พบเพียง 1 เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณ 6 แสนคน
ส่วนอาการทางอารมณ์ประเภทอื่นๆยังเกิดขึ้นน้อย

น.พ.อภิชัย มงคล รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข (สมัยนั้น)
ให้ข้อมูล แล้วอธิบายต่อไปว่า โรคอารมณ์แปรปรวนเกิดจาก
เนื้อสมอง มีความเกี่ยวข้องกับกรรมพันธุ์
สมองคนเหล่านี้...ผิดปกติ มีความไม่สมดุลของสารเคมี

“ต้องย้ำว่า...โรคอารมณ์แปรปรวนเกิดจากกรรมพันธุ์
ประเภทที่ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ หมายความว่า ไม่ใช่จะต้องเป็นกันทุกคน
แต่มีโอกาสเกิดขึ้นกับญาติพี่น้องผู้ป่วย
โรคนี้ไม่ได้ติดต่อกันทางกรรมพันธุ์ขั้นรุนแรงขนาดนั้น”

ปัจจัยอื่นไม่ใช่สาเหตุหลัก แต่จะเป็นตัวกระตุ้น
เช่น การดื่มแอลกอฮอล์ ผู้ที่เป็นโรคนี้ในช่วงแรกๆจะรู้สึกว่า
ตัวเองไม่สบาย แต่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร คิดว่าการดื่มแอลกอฮอล์
จะเป็นการรักษาตัวเอง เป็นการคลายเครียด
“ตรงกันข้าม จะยิ่งไปกันใหญ่ ไม่ใช่วิธีการรักษาที่ถูกต้อง”

ปัจจัยต่อมา ความเครียดในชีวิต คนธรรมดาจะปรับตัว
และฟื้นตัวผ่านความเครียดในชีวิตไปได้
แต่คนที่เป็นโรคซ่อนเร้นมักจะก้าวผ่านไปไม่ได้
มีอาการค้างและคงอยู่ แต่จะมีปัญหาเป็นช่วงๆ
ตามช่วงวิกฤติของชีวิตปัจจัยเกี่ยวกับอาชีพอายุ
ก็มีส่วนเสริมให้เกิดโรคอารมณ์แปรปรวน
โดยเฉพาะอาชีพที่ต้องเปลี่ยนเวร
เปลี่ยนเวลาทำงานบ่อยๆ มีเวลานอนไม่แน่นอน

น.พ.อภิชัย บอกว่า คนที่เป็นโรคเหล่านี้
ควรมีอนามัยการนอนปกติ นอนแต่หัวค่ำ
ตื่นปกติ หรือ นอนและตื่นตามเวลาปกติ
ถ้าต้องเข้ากะ ทำงานเปลี่ยนเวลาบ่อยๆ
จะมีปัญหานอนไม่หลับ พอนอนไม่หลับนานๆ
โรคอารมณ์แปรปรวนก็จะกำเริบมากขึ้น

“อาชีพไหนที่มีเวลาทำงานไม่แน่นอน
ก็จะเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดอาการอารมณ์แปรปรวน
ได้ง่ายมากขึ้น” บางกรณี เวลานอนที่ไม่แน่นอน
ก็จะกระตุ้นให้โรคอารมณ์ แปรปรวนที่สงบแล้ว
กำเริบขึ้นได้บ่อยๆ
ปัจจัยเกี่ยวกับอายุ โรคนี้เป็นได้กับ
คนในทุกช่วงอายุ แต่เนื่องจากว่าสาเหตุกระตุ้น
มักจะรุมเร้ากับคนที่อยู่ในช่วงวัยทำงานมากกว่า
ฉะนั้นโรคที่ซ่อนอยู่ในตัวก็จะแสดงอาการเด่นชัด
ในช่วงวัยทำงาน อายุ 25-45 ปี
คนวัยนี้มีความเครียดมาก ต้องทำงาน ต้องต่อสู้มาก
และเป็นช่วงที่มีการเสี่ยงแอลกอฮอล์มาก
ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม ที่อยู่อาศัย มีส่วนกระตุ้นโรคนี้หรือเปล่า

น.พ.อภิชัย บอกว่า ความไม่สะดวกสบายบางอย่าง
อากาศร้อน สถานที่คับแคบ อาจจะเป็นเหตุทำให้รู้สึก
หงุดหงิดบ้าง...เล็กน้อย จากประสบการณ์ปัจจัยเหล่านี้
ไม่น่าจะเป็นสาเหตุกระตุ้นหลัก สาเหตุหลักต้องมาจาก
ปัจจัยที่ใหญ่กว่านี้ ต้องเป็นเรื่องที่สร้างความตกอกตกใจ
สะเทือนขวัญ และเสียกำลังใจมากๆ

โรคอารมณ์แปรปรวน ถือเป็นโรคประจำตัว
เมื่อรักษาจนมีอาการหายดีแล้ว ก็ต้องปฏิบัติตัวตาม
ที่คุณหมอสั่งไว้เป็นอย่างดี ถ้าปฏิบัติตัวไม่ได้ไม่เข้มงวด
นานๆไปอาการก็จะกำเริบขึ้นมาอีก
ไม่ต่างกับโรคความดัน โรคเบาหวาน หายแล้วก็ต้องควบคุมของหวาน

“การปฏิบัติตัวไม่ได้ทำให้ผู้ป่วยเครียดมากขึ้น
แต่จะช่วยให้เครียดน้อยลง ปัญหาที่เกิดบางทีเขาอาจไม่มีกำลังใจที่จะทำ”

การปฏิบัติตัวไม่ยุ่งยาก หลักๆคือ ห้ามแอลกอฮอล์และคาเฟอีน
หมายความว่า ห้ามดื่มเหล้า เบียร์ น้ำชา กาแฟ...
เป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดการนอนที่ไม่แน่นอน
ทำให้อาการกำเริบได้ บุหรี่ไม่ได้ห้าม
ปัญหาจากการสูบบุหรี่คือมะเร็ง ไม่เกี่ยวกับโรคจิตประสาท
สิ่งที่ต้องปฏิบัติต่อไป จะต้องเข้มงวดในการออกกำลังกาย
สัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละครึ่งชั่วโมงต่อเนื่อง

“ปฏิบัติตัวได้อย่างนี้ก็ไม่เครียด
คนที่เครียด...เครียดเพราะไม่ทำ”

ดูเหมือนว่า ใครที่รู้ตัวว่ามีอาการโรคอารมณ์แปรปรวน
จะมีทางแก้ไขได้ แต่กับคนที่ไม่รู้ตัวจะทำอย่างไร

น.พ.อภิชัย บอกว่า ในช่วงแรกอาจไม่มีใครสังเกตเห็น
แต่ถ้ามีอารมณ์แปรปรวน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายบ่อยๆซ้ำๆ...
ทุกๆสาม...สี่เดือน ญาติพี่น้องคนรอบตัวก็จะเริ่มสังเกต
“บ่อยๆเข้า คนไข้เอง...ก็จะรู้ตัว นึกได้ว่าไม่น่าทำอย่างนั้น...
ช่วงนั้นทำไมจ่ายเงินฟุ่มเฟือย...ขับรถเร็ว...เล่นการพนัน...
นอนน้อย... ขยันผิดปกติ” พอรู้ว่าเป็นขึ้นมาแล้ว
ญาติพี่น้องมักจะเป็นผู้นำไปสู่กระบวนการรักษา

วิธีสังเกต...คนที่เป็นโรคซึมเศร้า
ต้องดูพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลง จากคนที่พูดจาปกติ
ก็กลายเป็นคนเงียบขรึม พูดน้อย...เวลาคุยก็รู้สึกสิ้นหวัง
ท้อแท้ คิดว่าตัวเองจนแต้ม ไม่มีทางออก
บางครั้งอาจบ่นบ่อยๆว่านอนไม่หลับ หนักหน่อย ก็เปรยว่า...
อยากจะฆ่าตัวตาย สั่งเสียให้ญาติพี่น้องช่วยดูแลลูกหลาน

ใครที่มีความรู้สึกแบบนี้ติดต่อกันสักสองอาทิตย์
ถือว่าเป็นสัญญาณเตือนภัย
อาการโรคซึมเศร้าเพิ่มระดับความรุนแรงมากแล้ว
กลุ่มที่มีอาการครื้นเครง มีอาการตรงกันข้าม
จากคนสุภาพเรียบร้อย ก็เป็นคนแต่งตัวมาก
พูดมาก ขยันมาก นอนน้อย มีสัมพันธภาพทางเพศมากขึ้น
ทำอะไรเสี่ยงๆเพิ่มขึ้น ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้
คนรอบข้างสังเกตได้แน่นอน

คนรอบข้างเป็นตัวแปรสำคัญ ในการช่วยผู้ป่วย
ต้องให้คำปรึกษาโดยท่าทีเป็นผู้รับฟังที่ดี
ไม่ควรจะให้คำแนะนำมากนัก
พยายามยุให้พูดถึงสิ่งที่ขุ่นข้องหมองใจให้ได้ระบายมากที่สุด

“หลายคนคิดจะไปช่วย มักฟัง...สองสามประโยค
แล้วก็เริ่มอธิบายแนะนำ อย่างนี้ถือว่า...ไม่ได้ช่วยอะไร”
การแก้ปัญหาเมื่อรับฟังแล้ว ควรชวนกันไปออกกำลังกาย
คนที่ไม่ค่อยสบาย มักไม่มีแรงจูงใจ ในการออกกำลังกาย
หมอบอกให้ทำก็รู้ว่า ต้องทำ แต่ไม่ทำเพราะไม่มีแรงจูงใจ

โรคนี้...ทำให้เกิดนิสัยขี้เกียจออกกำลังกาย
จำเป็นต้องจัดสภาพแวดล้อม ให้อยากออกกำลังกาย
เช่น มีคนไปเป็นเพื่อน นัดแล้วก็ไปด้วยกัน
สอง...สามเดือนแรก คนใกล้ตัวต้องช่วยให้เขา
ฝ่ากำแพงความยากนี้ไปให้ได้ หากทำทั้งสองอย่างไม่ได้ผล
ก็ต้องให้ญาติผู้ใหญ่หว่านล้อม ชวนไปพบแพทย์

กรณีคนไข้เครียด ทะเลาะกับคนรอบข้าง
สามี...ภรรยาอาจไม่ เข้าใจว่าผู้ป่วยเครียด
จากอาการโรคอารมณ์แปรปรวน

น.พ.อภิชัย แนะนำว่า คนที่เครียดบ่อย...
ดุ...ก้าวร้าว...ทำร้ายคนอื่น
แม้กระทั่งดื่มเหล้าบ่อยๆ มองได้ 2 อย่าง
อย่างแรก...นิสัยไม่ดี อย่าง ต่อมา...มีปัญหาสุขภาพจิต

สิ่งสำคัญขึ้นอยู่กับทัศนคติ คนข้างตัวจะมองอย่างไร
ถ้ามองว่านิสัยไม่ดีก็แก้อะไรไม่ได้
ทะเลาะเบาะแว้งกันทั้งสองฝ่าย อยู่ด้วยกันก็ไม่มีความสุข...
หากมองอย่างสร้างสรรค์ เขาเป็นคนป่วย มีปัญหาสุขภาพจิต...
ต้องการความช่วยเหลือ ก็มีทางเยียวยา รักษาให้หายได้.

สุดท้ายขอขอบคุณสาระดีๆ เหล่านี้จาก
http://content.kapook.com
http://counsel.spu.ac.th ค่ะ

MANIC-DEPRESSIVE DISORDER

คำจำกัดความ
ลักษณะสำคัญของโรคนี้ คือ ผู้ป่วยมีความผิดปกติของอารมณ์เป็นอาการสำคัญ โดยอารมณ์ที่ผิดปกตินั้นอาจเป็นอารมณ์เศร้าหรืออารมณ์รื่นเริงสนุกสนานผิดปกติ ร่วมกับอาการอื่นของโรคซึมเศร้า หรือโรคแมเนียโดยไม่มีโรคทางกาย โรคของสมอง หรือพิษจากยาเป็นสาเหตุของอาการดังกล่าว

โรคอารมณ์แปรปรวน แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ
1. Depressive Disorders มีอารมณ์เศร้าเป็นอาการหลักร่วมกับอาการอื่น ๆ
2. Bipolar Disorders มีอารมณ์สนุกสนานแบบ Mania เป็นอาการหลัก และมักมีหรือเคยมีอาการของโรคซึมเศร้า

อาการ
โรคซึมเศร้า มีอาการสำคัญ ๆ ดังนี้
- อารมณ์เศร้า ผู้ป่วยรู้สึกใจคอหดหู่ เศร้าหมอง ไม่มีชีวิตชีวา รู้สึกไม่แจ่มใส อารมณ์เศร้านี้จะเป็นติดต่อกันหลายวันถึงเป็นสัปดาห์
- อารมณ์หงุดหงิดโกรธง่าย ผู้ป่วยรู้สึกหงุดหงิดง่ายโดยไม่มีสาเหตุชัดเจนบ่อย ๆ
- ความรู้สึกเบื่อและหมดความสนใจ ผู้ป่วยรู้สึกเบื่อและหมดความสนใจในสิ่งต่าง ๆ ที่เคยทำให้รู้สึกดี เช่น ไม่อยากดู TV ไม่อยากไปดูภาพยนตร์ ไม่อยากคุยกับเพื่อนหรือญาติ ไม่อยากไปเที่ยว เป็นต้น
- อาการเบื่ออาหาร ผู้ป่วยรู้สึกเบื่อ ไม่รู้สึกอยากอาหาร กินอาหารน้อยลงจนน้ำหนักลด
- นอนไม่หลับ ระยะแรกอาจจะหลับยาก นอนหลับไม่สนิท ฝันร้าย หรือตื่นบ่อย เมื่อเป็นมากขึ้น อาจตื่นกลางดึก ตีหนึ่ง ตีสอง หรือตื่นเช้ามืด หลับต่อไม่ได้ เป็นทุกคืน
- อาการอ่อนเพลีย ผู้ป่วยรู้สึกอ่อนเพลีย ไม่มีแรง เหนื่อยง่าย โดยไม่มีสาเหตุทางร่างกายชัดเจน
- ความคิดเชื่องช้า การเคลื่อนไหวตลอดจนการพูดจาเชื่องช้าลง รู้สึกไม่กระตือรือร้น ต้องฝืนใจทำสิ่งต่าง ๆ เช่น การพูด การแต่งตัว การทำงาน เป็นต้น
- สมาธิเสีย ความจำไม่ดีและลืมง่ายเป็นอาการสำคัญ อ่านหนังสือแล้วจำไม่ได้ ไม่มีสมาธิในการทำงาน
- ความรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า ผู้ป่วยรู้สึกตัวเองไม่มีค่า หรือหมดความสำคัญต่อครอบครัว เพื่อนร่วมงาน
- ความคิดอยากตาย เมื่อเศร้ามาก ๆ ผู้ป่วยจะคิดอยากตายและพยายามฆ่าตัวตาย ถ้าไม่ได้รับการรักษาอาจฆ่าตัวตายสำเร็จ

โรค Bipolar Disorder ระยะ Mania Episode มีอาการดังนี้
- มีอารมณ์รื่นเริงสนุกสนานผิดปกติ หรือมีอารมณ์หงุดหงิดโกรธง่าย อารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย
- อาการนอนไม่หลับ อาจหลับยาก ตื่นบ่อย หรือนอนไม่หลับเลย ผู้ป่วยจะลุกขึ้นมาทำงานต่าง ๆ วุ่นวาย โดยไม่รู้สึกอ่อนเพลีย
- มีอาการพูดมาก พูดเร็วและส่งเสียงดัง
- ไม่มีสมาธิ สิ่งกระตุ้นจากภายนอกจะเบนความคิดให้ออกนอกเรื่องได้ง่าย
- มีการเคลื่อนไหวและมีกิจกรรมมากผิดปกติ ผู้ป่วยจะพูดคุยกับคนทั่วไปแม้ไม่รู้จักกัน ชอบออกนอกบ้านไปพบเพื่อนหรือญาติพี่น้องบ่อยผิดปกติ
- ความคิดเปลี่ยนเรื่องเร็ว ผู้ป่วยมีความคิดหลาย ๆ เรื่อง เกิดขึ้นรวดเร็ว และแสดงออกโดยการพูดมากและเร็ว
- มีอารมณ์ทางเพศเพิ่มขึ้นผิดปกติ
- การตัดสินใจไม่ดี เช่น ใช้เงินเปลืองและซื้อของมากผิดปกติ ลงทุนในกิจการต่าง ๆ อย่างไร้เหตุผล
- รู้สึกว่าตนเองมีความสำคัญมากผิดปกติ มีความสามารถพิเศษ ร่ำรวยมาก ทั้งที่ไม่เป็นความจริง
- ถ้าอาการมาก อาจมีอาการหูแว่ว ประสาทหลอนร่วมด้วย

การดำเนินของโรค

ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีอาการประมาณ 6 - 9 เดือน เมื่ออาการของโรคสงบลง มักจะสามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติ แต่จะมีโอกาสเป็นซ้ำได้อีก จึงอาจต้องใช้ยาทางจิตเวชควบคุมอาการ เพื่อไม่ให้เป็นซ้ำ

การรักษา

ยาทางจิตเวช มีความสำคัญมากในการรักษาโรคกลุ่มนี้ ปัจจุบันมียารักษาอารมณ์เศร้าหลายชนิดที่ให้ผลการรักษาดี รวมทั้งยาควบคุมอารมณ์แปรปรวนในการรักษาผู้ป่วย Bipolar Disorder ผู้ป่วยส่วนใหญ่ต้องรักษาด้วยยาประมาณ 6 - 9 เดือน

จิตบำบัดและครอบครัวบำบัด ตามสภาพปัญหาส่วนตัวและครอบครัวของผู้ป่วย

เอกสารอ้างอิง
สมภพ เรืองตระกูล, ตำราจิตเวชศาสตร์ กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์เรือนแก้ว, 2542
มาโนช หล่อตระกูล, ปราโมทย์ สุคนิชย์, จิตเวชศาสตร์ รามาธิบดี กรุงเทพมหานคร : สวิชาญการพิมพ์,

โรคอารมณ์แปรปรวน เกิดจากยีน

โรคอารมณ์แปรปรวน (Bipolar Disorder; BPD) หรือ manic-depressive illness เป็นหนึ่งความผิดปกติทางจิตที่รุนแรง เกิดขึ้นกับคนหลายล้านคนทั่วโลก ทำให้คนมีอาการซึมเศร้าสลับกับร่าเริง เมื่อซึมเศร้าจะเกิดอาการดื้อดึง มีอาการเศร้าหรือสิ้นหวังเป็นเวลานาน ในขณะที่ร่าเริงจะมีอาการตื่นตัวจนเกินเหตุ มีความคิดผุดขึ้นมามากมาย ความต้องการนอนลดลง และบางครั้งอาจควบคุมพฤติกรรมของตนเองไม่ได้ มีอาการเพ้อ หรืองมงาย คาดว่าเกิดจากการแปรปรวนของปฏิกิริยาที่สลับซับซ้อนของยีนหลายตัว และปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม


ความก้าวหน้าด้านการวิจัยและการรักษาถูกจำกัดไว้ที่การขาดแคลนสัตว์ทดลองที่เหมาะสม การวิจัยนี้เป็นการพัฒนาเพื่อสร้างต้นแบบโดยใช้พันธุวิศวกรรมสร้างความบกพร่องกับยีน GluR6 และจากการวิจัยด้านความผิดปกติของอารมณ์ ชี้ให้เห็นว่าระบบ glutamatergic อาจเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดความผิดปกติทางอารมณ์

แม้ขณะนี้นักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่เข้าใจบทบาทของยีน GluR6 ต่อการควบคุมความแปรปรวนของอารมณ์ ยิ่งไปกว่านั้นยีนที่จับกับตัวรับ GluR6 ก็ถูกนำไปเชื่อมโยงกับการบำบัดกระบวนการคิดฆ่าตัวตายด้วยการศึกษาทางเภสัชพันธุศาสตร์ของยาแก้โรคซึมเศร้า ได้มีการให้ข้อสังเกตว่า ผู้ที่มีอาการของโรคอารมณ์แปรปรวนจะมีอาการซึมเศร้าได้ง่าย และอาจนำไปสู่โรคซึมเศร้าได้


นักวิทยาศาสตร์ได้ออกแบบการทดลองเพื่อศึกษาหนูในหลายสายพันธุ์เปรียบเทียบหนูที่ไม่มียีน GluR6 กับหนูทั่วไปอย่างต่อเนื่อง พบว่าหนูที่ไม่มียีน GluR6 แสดงอาการหลายอย่างออกมาหลายอย่าง มันจะกระตือรือล้นมากขึ้นในการทดสอบหลายครั้ง และมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างมากต่อแอมเฟตามีน ซึ่งเป็นสารที่ใช้ในสัตว์ทดลองเพื่อหาภาวะไฮเปอร์แอคทีฟ (hyperactivity) หนูกลุ่มนี้ยังแสดงอาการกระวนกระวายเล็กน้อยและมีพฤติกรรมชอบความหวาดเสียวและมีพฤติกรรมซึมเศร้าน้อยลง นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มแสดงความก้าวร้าวมากขึ้นด้วย

โรคอารมณ์แปรปรวนมักรักษาด้วยยาควบคุมอารมณ์ หรือที่รู้จักกันดีคือ ลิเธียม นักวิจัยพบว่าการรักษาโรคอารมณ์แปรปรวนด้วยลิเธียมช่วยลดภาวะไฮเปอร์แอคทีฟ การแสดงอาการก้าวร้าว และภาวะชอบความหวาดเสียวในหนูที่ไม่มียีน GluR6 เมื่อทดสอบทางชีวเคมี ก็ชี้ให้เห็นว่า ยีน GluR6 มีบทบาทที่เป็นเอกลักษณ์ต่อการควบคุมอาการคลุ้มคลั่ง หนูต้นแบบที่ไม่มียีน GluR6 ทำให้นักวิจัยเข้าใจโรคอารมณ์แปรปรวนดีขึ้น อาจนำไปสู่วิธีรักษาแบบใหม่ได้ และหากรักษาในหนูได้สำเร็จก็อาจนำมาใช้กับคนได้ด้วย



ที่มา
http://www.sciencedaily.com/releases/2008/03/080312081256.htm

BIPOLAR DISORDER โรคอารมณ์แปรปรวน

โรคอารมณ์แปรปรวนชนิด Bipolar Disorder

โรคไบโพล่าร์เป็นโรคชนิดหนึ่งที่ทำให้เกิดความผิดปกติของอารมณ์ โรคนี้มีหลายชื่อเช่น โรคอารมณ์ แปรปรวน , manic-depressive disorder, bipolar affective disorder, bipolar disorder ในปัจจุบันชื่อเป็นทางการคือ โรคไบโพล่าร์ (bipolar disorder)

ลักษณะสำคัญของโรคนี้คืออาการผิดปกติของอารมณ์ที่เกิดขึ้นนั้นอาจเป็นแบบซึมเศร้า (depressive episode หรือ depression) หรือตรงข้ามกับซึมเศร้าคืออารมณ์ดีผิดปกติ (manic episode หรือ mania) ก็ได้

อาการซึมเศร้า (depressive episode)
อาการซึมเศร้าที่เกิดขึ้นในโรคไบโพล่าร์จะเหมือนกับอาการของโรคซึมเศร้า (major depressive disorder) ทุกประการนั่นคืออยู่ๆผู้ป่วยก็กินไม่ได้ นอนไม่หลับ ร้องไห้ง่าย คิดแต่เรื่องร้ายๆ รู้สึกเศร้าๆ ไม่แจ่มใส เบื่อหน่ายไปหมดทุกเรื่อง ไม่รู้สึกดีใจเวลามีอะไรดีๆเกิดขึ้น ไม่อยากได้อะไร ไม่มีความสุข เก็บเนื้อเก็บตัวไม่อยากพบหน้าใคร บางคนจะหงุดหงิดโมโหง่าย เบื่อชีวิต อยากตาย บางคนถึงกับฆ่าตัวตาย มีอาการอยู่แทบทุกวันเป็นหลายๆสัปดาห์หรือเป็นเดือน ในช่วงซึมเศร้าผู้ป่วยมักรู้ว่าตนกำลังป่วยนอกจาก ในรายที่เป็นมากๆ

อาการตรงข้ามกับซึมเศร้า (manic episode)
เมื่อเกิดอาการตรงข้ามกับซึมเศร้าผู้ป่วยจะมีอารมณ์ดีผิดปกติ พูดมาก หัวเราะง่าย ชอบเข้าไปวุ่นวายกับคนอื่น จนบางครั้งเกิดเรื่องเกิดราว ใช้เงินเปลืองเพราะเห็นอะไรก็น่าซึ้อไปหมดและก็จะซื้อทีละเยอะๆด้วย รู้สึกว่า ตนเองเก่ง หล่อ สวย หรือเป็นคนสำคัญผิดปกติ ในช่วงที่ป่วยผู้ป่วยจะรู้สึกขยันขันแข็งอยากทำอะไรมากมายไปหมดและมีความต้องการที่จะนอนน้อยลง บางรายมีอารมณ์หงุดหงิดก้าวร้าวมาก ผู้ป่วยบางรายมีความต้องการทางเพศมาก บางรายมีอาการของโรคจิตด้วยคือมีความหลงเชื่อผิดเช่นคิดว่าผู้ป่วยเป็นคนสำคัญในอดีตกลับชาติมาเกิด หรือมีหูแว่วมาชมผู้ป่วยว่าหล่อจัง ผู้ป่วยมักไม่รู้ว่าตนกำลังป่วยและมักปฏิเสธการรักษา
ผู้ป่วยหลายๆรายติดอกติดใจในความสุขที่เกิดขึ้นในช่วงที่กำลังมีอาการตรงข้ามกับซึมเศร้าทำให้ไม่อยาก กินยาเพราะกินแล้ว "ไม่สนุก"

อาการที่สำคัญที่จะบอกว่าผู้ป่วยป่วยเป็นโรคไบโพล่าร์คือจะต้องมีอาการตรงข้ามกับซึมเศร้าอย่างน้อย 1 ครั้ง โดยที่ผู้ป่วยอาจจะมีอาการซึมเศร้าเป็นบางครั้งร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้ รายที่เป็นทีไรก็ซึมเศร้าทุกทีไม่เคยมีอาการตรงข้ามกับซึมเศร้าเลยนั้นเราเรียกว่าเป็นโรคซึมเศร้าซึ่งการรักษา จะต่างกับโรคไบโพล่าร์ อย่างไรก็ดีผู้ที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าในช่วงหลังคลอดมักมีโอกาสสูงที่จะเกิดอาการ ตรงข้ามกับซึมเศร้าขึ้นในภายหลัง

โรคไบโพล่าร์นั้นมักเริ่มเป็นก่อนวัยกลางคน บางรายเริ่มเป็นตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 20 ปี แต่ก็มีบางรายที่มาเริ่ม เป็นหลังอายุ 40 ปีได้ โรคไบโพล่าร์เป็นโรคที่มีปัจจัยทางพันธุกรรมมาเกี่ยวข้องค่อนข้างมากโดยพบว่าเมื่อลองถามประวัติให้ดีๆ มักจะพบว่ามีคนอื่นบางคนในวงศ์ญาติป่วยเป็นโรคไบโพล่าร์และลูกหลานของผู้ที่ป่วยเป็นโรคไบโพล่าร์มี โอกาสที่จะป่วยเป็นโรคไบโพล่าร์ได้มากกว่าคนทั่วไป

ในปัจจุบันเชื่อว่าโรคไบโพล่าร์เกิดจากการทำงานที่ผิดปกติของสมองโดยมีสารสื่อนำประสาทที่ไม่สมดุลย์ คือมีสารซีโรโทนิน (serotonin) น้อยเกินไปและสารนอร์เอปิเนฟริน (epinephrine) มากเกินไป ดังนั้นเราจึงสามารถรักษาโรคนี้ได้ด้วยยา ยาที่ใช้รักษาโรคไบโพล่าร์ได้แก่ยาในกลุ่มยาควบคุมอารมณ์ (mood stabilizers), ยาแก้โรคจิต (antipsychotics), และยาแก้โรคซึมเศร้า (antidepressants)

ข้อมูลความรู้จากเรื่องโรคอารมณ์แปรปรวน
ผศ.นพ.สเปญ อุ่นอนงค์